การพัฒนาประเทศจำต้องทำตามอย่างลำดับชั้น จำต้องสร้างฐานราก เป็น ความพอเพียงมีพอกิน พอประมาณของพลเมืองจำนวนมากเป็นอันพอเหมาะรวมทั้งปฏิบัติได้แล้ว แล้วก็ค่อยสร้างค่อยเสริมความรุ่งโรจน์และก็ฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นตามลำดับถัดไป ถ้ามุ่งแม้กระนั้นจะทุ่มเทสร้างความเจริญก้าวหน้า ชูเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วทันใจแม้กระนั้นประการเดียว โดยไม่ให้แผนดำเนินการชมรมกับสภาพการณ์ของประเทศแล้วก็ของประชากรโดยคล้ายคลึงด้วย ก็จะกำเนิดความไม่พอดีในหัวข้อต่างๆขึ้น ซึ่งบางทีอาจแปลงเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ท้ายที่สุด…
— พระบรมราโชวาท ในพิธีรับปริญญาของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ ห้องประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 18 ก.ค. พุทธศักราช 2517
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ยึดหลักมัชฌิมาปฏิปทา ที่ชี้กรรมวิธีการยังคงอยู่และก็ปฏิบัติของพสกนิกรในทุกระดับให้ดำเนินไปในทางทางสายกลาง มีความเพียงพอ รวมทั้งมีความพร้อมเพรียงที่จะจัดแจงต่อผลพวงจากความเคลื่อนไหว ซึ่งจำเป็นจะต้องอาศัยความรู้ ถ้วนถี่ รวมทั้งระแวดระวัง สำหรับเพื่อการคิดแผนและก็ปฏิบัติงานทุกขั้นตอนดังนี้ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำรงชีวิตอย่างสมดุลและก็จีรังยั่งยืน เพื่อสามารถอยู่ได้ถึงแม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันกันรุนแรง
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงปรับแก้พระราชทานเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดนิยาม “3 ห่วง 2 ข้อแม้” ที่แผนกอนุกรรมการขับเศรษฐกิจพอเพียง สศช. ประยุกต์ใช้สำหรับการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านวิถีทางสื่อต่างๆอยู่ในตอนนี้ ซึ่งมีความ “พอสมควร มีเหตุมีผล มีภูมิต้านทาน” บนข้อตกลง “วิชาความรู้” และก็ “คุณงามความดี“
ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานภาควิชาอนุกรรมการขับเศรษฐกิจพอเพียง ชี้แจงถึงการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ว่า เป็นการปรับปรุงที่ตั้งอยู่บนเบื้องต้นของมัชฌิมาปฏิปทาแล้วก็ความไม่ประมาท โดยนึกถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล แล้วก็การผลิตภูมิต้านทานที่ดีในตัวตลอดจนการใช้วิชาความรู้ ความละเอียดรอบคอบละศีลธรรมประกอบกิจการคิดแผน การตัดสินใจรวมทั้งพฤติกรรมต่างๆความพอประมาณ หมายคือ ความเพียงพอ ที่ไม่มากมายและไม่น้อยจนกระทั่งเกินความจำเป็น ไม่เอารัดเอาเปรียบตัวเองรวมทั้งคนอื่น ดังเช่นว่า การสร้างและก็การบริโภคที่พอสมควร ความมีเหตุมีผล หมายความว่า การใช้หลักเหตุผลสำหรับในการตกลงใจหัวข้อต่างๆโดยไตร่ตรองจากเหตุต้นสายปลายเหตุที่เกี่ยวโยง ตลอดจนผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างระมัดระวัง การมีภูมิต้านทานที่ดี คือ การเตรียมพร้อมให้พร้อมรับต่อผลพวงที่เกิดขึ้นมาจากความเคลื่อนไหวรอบกาย เหตุพวกนี้จะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยวิชาความรู้และก็ศีลธรรม เป็นข้อแม้ฐานราก กล่าวอีกนัยหนึ่ง ข้อจำกัดวิชาความรู้ คือ ความรู้ ความละเอียดถี่ถ้วน แล้วก็ความระแวดระวังสำหรับในการดำรงชีพและก็การประกอบกิจการงาน ส่วนข้อจำกัดคุณความดี เป็น การยึดถือความดีงามต่างๆเป็นต้นว่า ความซื่อตรงซื่อสัตย์สุจริต ความทรหดอดทน ความพยายาม การมุ่งต่อประโยชน์สำหรับส่วนรวมรวมทั้งการแบ่งปัน อื่นๆอีกมากมาย ตลอดระยะเวลาที่ปรับใช้ปรัชญา
อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อบ้านนอกรวมทั้งสังคม ได้จัดแนวความคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น“คำแนะนำสำหรับเพื่อการจัดกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจตามหนทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง” ดังนี้เพราะว่าในพระราชกระแสรับสั่งหนึ่ง ได้ให้คำชี้แจงถึง เศรษฐกิจพอเพียง ว่า “เป็นความพอประมาณ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ละโมบ แล้วก็จำเป็นต้องไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น“
ระบบเศรษฐกิจเพียงพอเน้นให้บุคคลสามารถดำรงชีพได้อย่างยั่งยืน และก็ใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงรวมทั้งออมตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยไม่มีการยืมหนี้สินยืมสิน รวมทั้งถ้าหากมีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้นิดหน่อยช่วยเหลือคนอื่นเล็กน้อย รวมทั้งบางครั้งอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อต้นสายปลายเหตุเสริมอีกนิดหน่อย ต้นเหตุที่กรรมวิธีดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกเอ๋ยถึงอย่างมากมายตอนนี้ เพราะเหตุว่าภาวะการดำรงอยู่ของสังคมระบบทุนนิยมในขณะนี้ได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้มีการใช้จ่ายอย่างเกินความสามารถ ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าเหตุสำหรับการดำรงชีพ ดังเช่น การบริโภคเกินกำลัง ความเพลิดเพลินนานาประการต้นแบบ ความสวยสดงดงาม การแต่งตัวตามสมัยนิยม การเดิมพันหรือเสี่ยงดวง ฯลฯ จนกระทั่งทำให้ขาดเงินพอเพียงที่จะตอบสนองสิ่งที่ต้องการพวกนั้น เป็นเหตุให้เกิดการกู้ยืมหนี้สินยืมสิน กำเนิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถที่จะหลุดออกมาได้ ถ้าเกิดไม่เปลี่ยนแปลงวิถีทางสำหรับการดำเนินชีวิต
ซึ่ง ดร. สุการเซ่นสรวง ตันติเตียนเวชกุล ได้พูดว่า “หลายท่านกลับมาดำเนินชีวิตอย่างคนยากจน ซึ่งเป็นการปรับนิสัยไปสู่ประสิทธิภาพ“8 และก็ “การลงมือกระทำด้วยความสมเหตุสมผล เป็นคุณค่าของเศรษฐกิจพอเพียง“
การนำไปใช้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ถูกใช้เป็นกรอบแนวคิดแล้วก็แนวทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย ซึ่งใส่อยู่ในแผนปรับปรุงเศรษฐกิจและก็สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยืนนาน และก็มีภูมิต้านทานเพื่อความสุขกายสุขใจ มุ่งสู่สังคมที่แฮปปี้อย่างยั่งยืน หรือที่เรียกว่า “สังคมสีเขียว” ด้วยวิธีการดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แผนปรับปรุงเศรษฐกิจแล้วก็สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 นี้จะไม่เน้นย้ำเรื่องจำนวนการเติบโตด้านเศรษฐกิจ แต่ว่ายังคงให้ความใส่ใจต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ หรือระบบเศรษฐกิจที่มีความไม่เหมือนกันระหว่างเศรษฐกิจชุมชนเมืองและก็ต่างจังหวัด
แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงยังถูกใส่ในรัฐธรรมนูญที่แว่นแคว้นไทย พ.ศ. 2550 ในส่วนที่ 3 แนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 78 (1)ความว่า: “บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ แล้วก็ความยั่งยืนมั่นคง ของประเทศอย่างยั่งยืน โดยจำต้องสนับสนุนการทำงานตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแล้วก็นึกถึงผลตอบแทนของชาติในรูปภาพรวมเป็นหลัก“
สุรเกียรติยศ เสถียรไทย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเมืองนอก กล่าวตอนวันที่ 24 เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช2547 สำหรับการประชุมสุดยอด The Francophonie Ouagadougou ครั้งที่ 10 ที่ประเทศบูร์กินาฟาโซ ว่าเมืองไทยได้ยึดทางเศรษฐกิจพอเพียงพร้อมกันกับ “การพัฒนาแบบยืนยง” ในการพัฒนาประเทศทั้งยังทางด้านการกสิกรรมบาปเศรษฐกิจ และก็การแข่งขันชิงชัย ซึ่งเป็นการใกล้เคียงวัตถุประสงค์ทางของนานาประเทศในชุมชนโลก โดยยกตัวอย่างการจัดการปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ พุทธศักราช 2540 ซึ่งเมื่อยึดหลักปรัชญาสำหรับการแก้ไขปัญหาสามารถทำให้สินค้ามวลรวมภายในประเทศ ของไทยเติบโตได้ถึงปริมาณร้อยละ 6.7
นอกเหนือจากเศรษฐกิจพอเพียงจะมีคุณประโยชน์ต่อเมืองไทย อีกทั้งมีความหมายในการพัฒนาในต่างชาติ การปรับใช้นำหลักปรัชญาเพื่อนำไปปรับปรุงประเทศในเมืองนอกพวกนั้น เมืองไทยได้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนผ่านทางที่ทำการความร่วมแรงร่วมใจเพื่อการพัฒนาระหว่างชาติ โดยมีบทบาทรอติดต่อประสานงานรับความช่วยเหลือเกื้อกูลด้านวิชาการด้านต่างๆจากต่างแดนมาสู่ภาครัฐ แล้วถ่ายทอดถัดไปยังภาคสามัญชน รวมทั้งยังส่งผ่านวิชาความรู้ที่มีไปยังประเทศด้อยพัฒนาอื่นๆเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ที่ทำการความร่วมแรงร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างชาติได้ถ่ายทอดมาไม่ต่ำลงยิ่งกว่า 5 ปี และก็ผสานกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รวมทั้งแผนกอนุกรรมการขับเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งต่างประเทศก็พอใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากว่าพิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีและก็มีคุณประโยชน์ ซึ่งแต่ละประเทศมีความต้องการดัดแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแตกต่าง ขึ้นกับวิถีชีวิต ภาวะภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศ โดยได้ให้ผู้แทนจากประเทศพวกนี้ได้มาศึกษางานในหลายระดับ อีกทั้งข้าราชการดำเนินงาน ข้าราชการข้างแผนการ จนกระทั่งระดับปลัดกระทรวง แล้วก็รัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้นอดิเทวดา แสงสว่างโคตร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเวียนทุ่งนา ประเทศออสเตรีย ได้พูดว่า ต่างประเทศพอใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพราะมาจากความคิดในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงกังวลพลเมืองของท่าน รวมทั้งรู้มูลเหตุที่รัฐบาลไทยเอามาเป็นหลักการ ส่วนประเทศพัฒนาแล้วก็อยากศึกษาเล่าเรียนเพื่อนำไปช่วยเหลือประเทศอื่น